คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล

Content on this page requires a newer version of Adobe Flash Player.

Get Adobe Flash player

ปัญญาของแผ่นดิน

 
 
 
 
 
 
การจัดการความรู้
 
 
 
 
 
 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

การจัดการความรู้

research

กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่ E-learning ครั้งที่ 2
หัวข้อ Share & Learn: การสอนโดยใช้ Computer Assisted Instruction (CAI)

อาจารย์ธนิษฐา สมัย วิทยากร
อาจารย์ปิโยรส เกษตรกาลม์ ผู้ลิขิต


กิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ เรื่อง การพัฒนาการจัดการเรียนการสอนสู่ E-learning ครั้งที่ 2
หัวข้อ Share & Learn: การสอนโดยใช้ Computer Assisted Instruction (CAI)
วันพุธที่ 18 สิงหาคม 2557 เวลา 12.30 - 13.30 น. ณ ห้องประชุม 901

Computer Based Instruction (CBI) คือ การใช้คอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์หลักในการสอน โดยแบ่งออกเป็น

1. คอมพิวเตอร์จัดการสอน (Computer Manage Instruction : CMI) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์ในการจัดหลักสูตร ตารางสอน งานธุรการ ระบบเงินเดือน ระบบการประเมินผล ระบบการลงทะเบียนเรียน เป็นต้น

2. คอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) เป็นกระบวนการเรียนการสอน โดยใช้คอมพิวเตอร์ในการนำเสนอเนื้อหาเรื่องราวต่างๆ มีลักษณะเป็นการเรียนโดยตรงและเป็นการเรียนแบบมีปฏิสัมพันธ์ (Interactive) คือ สามารถโต้ตอบระหว่างผู้เรียนกับคอมพิวเตอร์ได้ ใช้ในงาน เพื่อการสอน การทบทวนบทเรียน เพื่อฝึกหัด การวัดผลหรือสอบเลื่อนขั้น Electronic Book ช่วยทำให้เรารับรู้ข่าวสารมากขึ้น

องค์ประกอบสำคัญของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

• เสนอสิ่งเร้าให้กับผู้เรียน ได้แก่ เนื้อหา ภาพนิ่ง คำถาม ภาพเคลื่อนไหว
• ประเมินการตอบสนองของผู้เรียน ได้แก่ การตัดสินคำตอบ เป็นต้น
• ให้ข้อมูลย้อนกลับ เพื่อการเสริมแรง ได้แก่ การให้รางวัล หรือ คะแนน
• ให้ผู้เรียนเลือกสิ่งเร้าในลำดับต่อไป

รูปแบบต่างๆ ของคอมพิวเตอร์ช่วยสอน

• ประเภทเพื่อการสอน ( Tutorial Instruction) ประเภทนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการสอนเนื้อหาใหม่แก่ผู้เรียน มีการแบ่งเนื้อหาเป็นกลุ่มย่อย มีคำถามในตอนท้าย ถ้าตอบถูกและผ่าน ก็จะเรียนหน่วยถัดไป โปรแกรมประเภท Tutorial นี้มีผู้สร้างเป็นจำนวนมาก เป็นการนำเสนอ โปรแกรมแบบสาขา สามารถสร้างเพื่อสอนได้ทุกวิชา

• ประเภทการฝึกหัด (Drill and Practice) ประเภทนี้วัตถุประสงค์ คือ ฝึกความแม่นยำ หลังจากที่เรียนเนื้อหาจากในห้องเรียนมาแล้ว โปรแกรมจะไม่เสนอเนื้อหา แต่ใช้วิธีสุ่มคำถามที่นำมาจากคลังข้อสอบ มีการเสนอคำถามซ้ำแล้วซ้ำอีก เพื่อวัดความรู้จริง มิใช่การเดา จากนั้นก็จะประเมินผล

• ประเภทสถานการณ์จำลอง (Simulation) วัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียนได้ทดลองปฏิบัติกับสถานการณ์จำลองที่มีความใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริง เพื่อฝึกทักษะและการเรียนรู้ โดยไม่ต้องเสี่ยง หรือเสียค่าใช้จ่ายมาก โปรแกรมประเภทนี้มักเป็นโปรแกรมสาธิต (Demostration) เพื่อให้ผู้เรียนทราบถึงทักษะที่จำเป็น

• ประเภทเกมการสอน (Instruction Games) ประเภทนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อกระตุ้นความสนใจของผู้เรียน มีการแข่งขัน เราสามารถใช้เกมในการสอน และเป็นสื่อที่ให้ความรู้แก่ผู้เรียนได้ ในแง่ของกระบวนการ ทัศนคติ ตลอดจนทักษะต่างๆ ทั้งยังช่วยเพิ่มบรรยากาศในการเรียนรู้ให้มากขึ้นด้วยกระบวนการ

• ประเภทการค้นพบ (Discovery) มีวัตถุประสงค์ เพื่อให้ผู้เรียน ได้มีโอกาสทดลองกระทำสิ่งต่างๆ ก่อนจนกระทั่งสามารถหาข้อสรุปได้ด้วยตนเอง โปรแกรมจะเสนอปัญหาให้ผู้เรียนได้ลองผิดลองถูกและให้ข้อมูลแก่ผู้เรียน เพื่อช่วยผู้เรียนในการค้นพบนั้น จนกว่าจะได้ลองถูก และให้ข้อสรุปที่ดีที่สุด

• ประเภทการแก้ปัญหา (Problem solving) เพื่อฝึกให้นักเรียนรู้ จักการคิด การตัดสินใจ โดยจะมีเกณฑ์ที่กำหนดให้แล้ว ผู้เรียนพิจารณาตามเกณฑ์นั้นๆ

• ประเภทเพื่อการทดสอบ (Test) ประเภทนี้ไม่ได้มีวัตถุประสงค์ เพื่อการสอน แต่เพื่อประเมินการสอนของครูหรือการเรียนของนักเรียน คอมพิวเตอร์จะประเมินผลในทันทีว่านักเรียนสอบได้หรือสอบตก และจะอยู่ในลำดับที่เท่าไร ได้ผลการสอบกี่เปอร์เซนต์

การพัฒนาโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Instruction Computing Development) ขั้นตอนออกแบบ (Instruction Design)

วิเคราะห์เนื้อหา
1. เลือกเนื้อหาที่มีการฝึกทักษะซ้ำบ่อยๆ หรือต้องมีภาพประกอบ
2. เลือกเนื้อหาที่คาดว่าจะประหยัดเวลาสอนได้มากกว่าวิธีเดิม
3. เลือกเนื้อหาบางอย่างที่สามารถจำลองในรูปของการสาธิตได้

ศึกษาความเป็นไปได้
1. มีบุคลากรที่มีความรู้มากพอที่จะผลิตโปรแกรมหรือไม่
2. จะใช้เวลาเท่าไร มากหรือน้อยกว่าเดิม
3. ต้องการอุปกรณ์พิเศษเพิ่มเติมมากน้อยเพียงใด
4. มีงบประมาณเพียงพอหรือไม่

กำหนดวัตถุประสงค์ โดยคำนึงถึง

1. ความรู้พื้นฐานของผู้เรียน ว่าเป็นใคร อายุเท่าไร พื้นฐานเดิมเป็นอย่างไร
2. สิ่งที่คาดหวังจากผู้เรียน เมื่อได้ศึกษาโปรแกรมเรื่องนี้แล้ว

ลำดับขั้นการนำเสนอ
- ภาษาที่ใช้ มีความเหมาะสมกับผู้เรียนหรือไม่
- ขนาดของตัวอักษร ข้อความ สีของข้อความ เหมาะกับผู้เรียนหรือไม่
- องค์ประกอบโดยรวมใน 1 จอภาพ
- ภาพนิ่ง ภาพเคลือนไหว เสียงดีหรือต้องปรับปรุง
- การสร้างแรงเสริมแก่ผู้เรียน คำชม รางวัลต่างๆ มากหรือน้อยไป
- แบบฝึกหัดประจำหน่วย ประจำบท

ขั้นการผลิต (Instruction Construction)

การสร้างโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นหน้าที่ของโปรแกรมเมอร์ ซึ่งจะดำเนินการต่อจากตอนแรกที่ได้มีการจัดทำ Story board ไว้แล้ว ขั้นการสร้างโปรแกรม โดยนำเอา story board ที่ได้สร้างไว้มาเขียนเป็นภาษาคอมพิวเตอร์หรืออาจใช้โปรแกรมสำหรับช่วยสอน สร้างงานมัลติมีเดียก็ได้ แต่สิ่งที่ต้องระวัง คือ คำสั่งผิดพลาด ตรรกะผิดพลาด ความคิดรวบยอดผิดพลาด

ขั้นการทดสอบการทำงาน

1. ควรมีการทดสอบหาข้อผิดพลาดที่ เรียกว่า Bug
2. ตรวจสอบเนื้อหาบนจอภาพรวม รวมข้อแก้ไข
3. ทดลองใช้งานจริงกับนักเรียน (Try – Out Program)
4. ขั้นปรับแก้ไข หลังจากที่ทราบข้อผิดพลาดแล้วก็จะทำการแก้ไข โดยจะเริ่มที่ Story Board ก่อน จากนั้นแก้ไขโปรแกรมจนกระทั่งสมบูรณ์ แล้วจึงจัดทำคู่มือประกอบการใช้โปรแกรมด้วย (คู่มือครู คู่มือนักเรียน คู่มือการใช้โปรแกรม)

การสร้างคู่มือสำหรับนักเรียน

- บอกชื่อเรื่อง ชื่อวิชา หน่วยการสอน ระดับชั้น
- บอกวัตถุประสงค์ทั่วไปของบทเรียน และของเนื้อหาวิชา
- บอกโครงร่างเนื้อหา
- บอกพื้นความรู้ที่ควรมีก่อนเรียนเนื้อหานี้
- คำชี้แจงต่างๆ และแสดงตัวอย่างการใช้งานเฟรมบทเรียน
- บอกขั้นตอนของกิจกรรม กฎเกณฑ์ และข้อเสนอแนะ
- บอกระยะเวลาโดยประมาณในการเรียนบทเรียน

การสร้างคู่มือ สำหรับครู

- บอกโครงร่างเนื้อหา
- บอกจุดประสงค์
- บอกรายละเอียดว่าสอนวิชาอะไร ตอนไหน พื้นฐานของผู้สอน
- แสดงตัวอย่าง เพื่อชี้แนะผู้สอน ว่าจะใช้ CAI อย่างไร
- แสดงตัวอย่าง Input และ Output จากผู้เรียน
- เสนอแหล่งข้อมูลเพิ่มเติม
- เสนอแนะการดำเนินกิจกรรม
- ตัวอย่างแบบทดสอบก่อน(ถ้ามี)และหลังบทเรียน

การสร้างคู่มือสำหรับใช้โปรแกรม

- บอกชื่อโปรแกรม ผู้เขียน ลิขสิทธิ์ วันที่แก้ไขปรับปรุง
- ภาษาหรือฟังก์ชั่น หรือโปรแกรมที่ใช้
- ฮาร์ดแวร์ที่จำเป็นต้องมี หรือโปรแกรมที่ใช้
- วิธีการเป็นขั้นๆ เริ่มตั้งแต่เปิดเครื่อง
- พิมพิ์ Source Code กรณีเป็นโปรแกรมภาษา
- แสดงโฟว์การทำงานของโปรแกรม
- ตัวอย่างข้อมูล Input และ Output

ขั้นการประยุตก์ใช้ (Instruction Implement) ในห้องเรียน ใช้กับกลุ่มเป้าหมายจริง
การประเมินผล คือ ขั้นสุดท้ายของการพัฒนาโปรแกรม
- ประเมินว่าบรรลุวัตถุประสงค์หรือไม่
- ประเมินว่าโปรแกรมทำงานได้เหมาะสมกับเนื้อหาหรือไม่
- ประเมินทัศนคติของผู้เรียน
- ความยากง่ายในการใช้

                   *************************************************************

 



             คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล เลขที่ 2 ถนนพรานนก แขวงศิริราช เขตบางกอกน้อย กรุงเทพมหานคร 10700
             © สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2553, ติดต่อเว็บมาสเตอร์:nswww@mahidol.ac.th